ลือ!!! จะมีแค่ iPhone 15 Pro เท่านั้นที่รองรับการถ่ายโอนข้อมูลความเร็วสูงด้วยการอัปเกรด USB-C

 อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าตอนนี้สภายุโรปลงมติขั้นสุดท้าย เห็นชอบบังคับให้สายชาร์จโทรศัพท์มือถือในสหภาพยุโรปเป็นมาตรฐานเดียวกันนั้นคือจะต้องหันมาใช้พอร์ต USB-C และจะมีผลกับ 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป และแน่นอนว่าแบรนด์ที่มีผลกระทบไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้นแอปเปิล (Apple)

ทั้งนี้จากกระแสข่าวที่เริ่ม ทยอยออกมาหลังการประกาศดังกล่าวทำให้เราพอทราบว่าสมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ของแอปเปิลจะต้องมาใช้การเชื่อมต่อด้วย USB-C 

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์คนดังที่มักให้ข้อมูลแม่นยำมากคนหนึ่ง เกี่ยวกับสินค้าใหม่ของแอปเปิลได้ออกมาระบุว่า iPhone 15 ทุกรุ่นที่จะเปิดตัวในปีหน้า (2023) อาจจะต้องเป็น iPhone รุ่นแรกที่ได้ใช้ Port การเชื่อมต่อแบบ USB-C ตามนโยบายล่าสุดของคณะกรรมการยุโรปที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต้องใช้ USB-C ขณะเดียวกัน iPad หลายรุ่นก็เปลี่ยนมาใช้ USB-C แล้ว เหลือเพียงแค่รุ่นเก่าเพียงรุ่นเดียวคือ iPad Gen 9 ที่ยังไม่เปลี่ยน

แต่ตามข้อมูลล่าสุดนั้น ได้อ้างว่าแม้ว่า iPhone 15 รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับการชาร์จแบบ USB-C แต่ความเร็วในการความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลผ่านสายนั้นจะมีแค่เฉพาะรุ่น ‌iPhone 15‌ Pro รุ่นมาตรฐานเท่านั้นที่จะมีความเร็วในการถ่ายโอนที่เร็วขึ้นจะถูก ส่วน ‌iPhone 15‌ รุ่นอื่นๆ ยังคงมีความเร็ว USB 2.0 เช่นเดียวกับ Lightning

Kuo กล่าวว่าความเร็วในการถ่ายโอนมีแนวโน้มที่จะ "ดีขึ้น" ในรุ่น ‌iPhone 15‌ Pro โดยรองรับ "อย่างน้อย" USB 3.2 หรือ Thunderbolt 3 ด้วยการอัปเกรด ‌iPhone 15‌ รุ่น Pro จะสามารถถ่ายโอนไฟล์วิดีโอและไฟล์ประเภทอื่น ๆ ด้วยความเร็วที่เร็วขึ้น โดย Kuo คาดการณ์ว่าผู้ใช้จะได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก

เพื่อให้เห็นภาพในเรื่องความแตกต่างที่สำคัญในความเร็วการถ่ายโอนข้อมูลแบบมีสายระหว่างรุ่น Pro และรุ่นปกติ ‌iPhone 15‌ Series ที่จะมีความเร็วในการถ่ายโอน USB 2.0 ถูกจำกัดไว้ที่ 480Mb/s  (เท่า iPad Gen 10) ในขณะที่ USB 3.2 หรือก็คือ Thunderbolt 3 รองรับความเร็วสูงสุด 20Gb/s รองรับความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงสุด 40Gb/s หรือเรียกว่า เร็วแบบจนใครบอก iPhone ถ่ายโอนข้อมูลช้า เลิกพูดได้เลย

ทั้งนี้ต้องมาติดตามกันต่อไปว่าง Apple จะเปลี่ยนมาใช้ Port แบบ USB-C ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในครั้งเดียว และ iPhones รุ่นใหม่ที่จะมาพร้อมกับพอร์ต USB-C ในปีหน้าหรือไม่

ขอขอบคุณ:  ข่าวไอที