ReadyPlanet.com


ภาพรวมเศรษฐกิจ และประเทศไทย


ประเทศไทย  ตลอดสี่ทศวรรษก่อนหน้านี้ที่ผ่านมา เมืองไทยมีความเจริญก้าวหน้าเป็นอย่างมากในการพัฒนาสังคมรวมทั้งเศรษฐกิจ รวมทั้งขยับจากการเป็นประเทศรายได้ต่ำเป็นประเทศรายได้ปานกลางระดับที่ค่อนข้างสูงในเวลาไม่ถึงหนึ่งเลวรุ่น ด้วยเหตุดังกล่าว เมืองไทยก็เลยถูกนำไปอ้างอิงถึงการบรรลุผลด้านการพัฒนากันอย่างมากมาย โดยยิ่งไปกว่านั้นการเติบโดด้านเศรษฐกิจที่หนักแน่นและก็ตลอด รวมทั้งการลดความแร้นแค้นได้อย่างน่าประทับใจ เศรษฐกิจของไทยเติบโตในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีโดยเฉลี่ยในตอนปี 2503-2539 ที่เป็นช่วงๆเศรษฐกิจเจริญก้าวหน้า แล้วก็เติบโตโดยเฉลี่ยต่อปีปริมาณร้อยละ 5 ในตอนปี 2542-2548 ภายหลังวิกฤตการคลังทวีปเอเชีย การเจริญเติบโตนี้สร้างงานหลายล้านตำแหน่งที่ช่วยทำให้คนหลายล้านคนพ้นจากความยากจนข้นแค้น ผลประโยชน์ในด้านต่างๆส่งผลลัพธ์เป็นที่ถูกใจ อย่างเช่น มีเด็กมากไม่น้อยเลยทีเดียวขึ้นที่ได้รับการเรียนรู้เยอะขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งดูเหมือนจะทุกคนภายในในช่วงเวลานี้ได้รับการรับรองสุขภาพ ในช่วงเวลาที่การประกันสังคมในแบบอย่างอื่นๆก็ได้รับการขยายให้ครอบคลุมเยอะขึ้นเรื่อยๆ

 
แต่ แนวโน้มการเจริญเติบโตจากทางที่เน้นย้ำการส่งออกที่เคยเป็นกำลังขับเขยื้อนสำคัญสำหรับเพื่อการเติบโตด้านเศรษฐกิจของเมืองไทยนั้นดูเหมือนจะลดลงไปอย่างน่าตกใจ ด้วยเหตุว่าภาวการณ์ชะงักงันของการสร้าง การลงทุนภาคเอกชนน้อยลงจากกว่าจำนวนร้อยละ 40 ในปี 2540 เป็นจำนวนร้อยละ 16.9 ของจีดีพีในปี 2562 ตอนที่การลงทุนโดยตรงจากต่างแดนรวมทั้งการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่ราคาโลกส่อแววชะงักงัน ความเคลื่อนไหวส่วนประกอบด้านเศรษฐกิจไม่น่าที่จะปฏิบัติภารกิจโยกย้ายทรัพยากรจากภาคการกสิกรรมสู่อุดสาหกรรมเสมือนตามเดิมเป็นมาอีกต่อไปแล้ว การสร้างอุตสาหกรรมแสดงความเกี่ยวเนื่องไปด้านหน้า (forward linkages) ในระดับพอสมควร แต่ว่ายังคงจำต้องพึ่งพาอาศัยวัตถุดิบและก็องค์ประกอบจากต่างแดนแล้วก็พบเจอกับการประลองที่เพิ่มสูงมากขึ้นจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค การเดินทางรวมทั้งการท่องเที่ยวที่เป็นตัวหลักในภาคบริการของประเทศ แสดงความสัมพันธ์ (linkages) รวมทั้งแนวโน้มผู้กระทำระจายทางธุรกิจ (diversification prospects) น้อยกว่าภาคบริการย่อยอื่นๆ
 
ความก้าวหน้าสำหรับการลดความแร้นแค้นของเมืองไทยได้ชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนสภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจรวมทั้งรายได้จากการกสิกรรม ธุรกิจ และก็ค่าแรงงานที่อยู่กับที่ ประมาณว่าความยากไร้จะทรงตัวในปี 2564 ท่ามกลางการฟื้นฟูสภาพอย่างช้าๆของตลาดแรงงานรวมทั้งมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลที่เบาๆหมดไป การสำรวจทางโทรคำศัพท์อย่างเร็วโดยธนาคารโลก ที่ทำงานตอนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน 2564 ประมาณว่าครอบครัวกว่าปริมาณร้อยละ 70 มีรายได้ต่ำลงตั้งแต่มีนาคม 2563 โดยกรุ๊ปบอบบางได้รับผลพวงหนักที่สุด
 
จากรายงานตามติดเศรษฐกิจไทย การแพร่ระบาดของวัววิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวลงจำนวนร้อยละ 6.2 ในปี 2563 เนื่องจากว่าอุปสงค์ข้างนอกลดน้อยลงที่มีผลต่อกิจการค้าแล้วก็การท่องเที่ยว การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน แล้วก็การบริโภคภายในประเทศต่ำลง ภายหลังจากเจอกับการยุบตัวร้ายแรงที่สุดนับจากวิกฤตการคลังทวีปเอเชียในปี 2563 เศรษฐกิจขยายตัวปริมาณร้อยละ 1.6 ในปี 2564 ท่ามกลางการแพร่ระบาดสี่ระลอก และไม่คงจะฟื้นกลับสู่ระดับก่อนวัววิด-19 ไปจนกระทั่งปี 2566 การแพร่ระบาดนี้ยังได้สร้างปัญหาท้ามากขึ้นมาอีกหลายประการในตลาดแรงงาน ผลพวงสำคัญพื้นฐานเป็นอัตราการตกงานที่พุ่งขึ้นอย่างกระทันหัน ในไตรมาสแรกของปี 2564 มีงานลดลง 710,000 ตำแหน่งเมื่อเทียบกับปีกลาย
 
แผนการต่อกรการแพร่ระบาดของเมืองไทยเป็นการกระตุ้นกิจกรรมด้านเศรษฐกิจและก็ช่วยเหลือชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่บอบบางที่สุด โดยมีชุดมาตรการด้านการเงินนอกงบประมาณในวงเงิน 1.5 ล้านล้านบาท (ราวปริมาณร้อยละ 9 ของจีดีพี) เพื่อการแจกจ่ายเงินแก้ไข การต่อกรด้านสาธารณสุข แล้วก็การบูรณะกิจกรรมทางด้านเศรษฐกิจและก็สังคม ยิ่งกว่านั้นยังมีโครงงานขนาดใหญ่เพื่อแบ่งเงินบริจาคให้กับกรุ๊ปบอบบางต่างๆที่มิฉะนั้นก็จะมิได้รับความคุ้มครองปกป้องใดๆก็ตามจากกลไกความให้การช่วยเหลือด้านสังคมที่มีอยู่
 
แนวโน้มของการแพร่ระบาดทั่วทั้งโลกยังคงไม่สามารถที่จะคาดเดาได้ ราคาพลังงานแล้วก็ของกินที่ไต่เต้าสูงมากขึ้นจะผลักการเจริญเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนและก็ผลประโยชน์ครอบครัว ผลพวงต่อผลประโยชน์นี้สามารถทุเลาได้ด้วยการดำเนินแผนการให้การช่วยเหลือทางด้านสังคมแล้วก็การบำบัดจากรัฐบาลถัดไป รวมทั้งเพื่อการฟื้นฟูสภาพดำเนินไปโดยตลอด เมืองไทยต้องเดินหน้าถัดไปกับการฉีดยาเข็มกระตุ้น การดำเนินวิธีการป้องกันอื่นๆแล้วก็การตรวจ/ติดตามการได้รับเชื้อ และก็การเปิดประเทศอย่างสม่ำเสมอ
 
เพื่อการลดความยากไร้กลับมาเดินหน้าถัดไปได้ แนวนโยบายสำคัญเป็นการขยายการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลทางด้านสังคมให้ครอบคลุมกรุ๊ปราษฎรที่บอบบาง คาดการณ์ว่าแม้ไม่มีชุดมาตรการแก้ไขของรัฐบาลแล้ว ความจนก็คงเพิ่มเป็นจำนวนร้อยละ 7.4 ในปี 2563 แทนที่จะเป็นปริมาณร้อยละ 6.2 จากที่เกิดขึ้นจริง การแพร่ระบาดของวัววิด-19 อีกระลอกในปี 2564 ได้ผลักรั้งการฟื้นฟูสภาพโดยกรุ๊ปบอบบางเป็นผู้ได้รับผลพวงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปอื่น
 
ดรรชนีทุนมนุษย์ (HCI) ของเมืองไทยในปี 2564 ที่มีค่า 0.61 ชี้ว่าผลิตภาพในอนาคตของเด็กที่เกิดในวันนี้จะต่ำยิ่งกว่าระดับที่ควรเป็นถ้าได้รับการเรียนครบสมบูรณ์แล้วก็มีร่างกายแข็งแรงเต็มกำลังถึงปริมาณร้อยละ 39 เมืองไทยเป็นที่รู้จักจากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแล้วก็การบรรลุผลในด้านโภชนาการเด็ก แต่ว่าประสิทธิภาพการเรียนรู้ยังคงเป็นข้อเสียในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ จากดรรชนีดังที่กล่าวถึงมาแล้ว เมืองไทยจัดอยู่ในชั้นสูงในด้านปริมาณปีที่คาดว่าจะได้รับการเรียนรู้รวมทั้งรูปร่างของเด็กที่ไม่ขาดสารอาหารจนถึงแคระแกร็นมึงรน แต่ว่าต่ำในด้านประสิทธิภาพการเล่าเรียน ซึ่งวัดจากผลของการทดลองรวม โครงงานให้การช่วยเหลือทางด้านสังคมมีลักษณะราดกระจัดกระจาย โดยยังได้โอกาสอีกมากมายที่จะทำปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการให้สิทธิผลดีแล้วก็คุณภาพ
 
การสูงอายุของพลเมืองจะนำมาซึ่งการใช้จ่ายมากขึ้นโดยตรง จากบำนาญภาครัฐและก็รายจ่ายสำหรับการรักษาพยาบาลที่มากขึ้น งบประมาณค่าใช้จ่ายรวมสำหรับรางวัลเงินบำนาญเจ้าหน้าที่รัฐ กองทุนประกันสังคม และก็เบี้ยเลี้ยงชีพคนแก่คาดว่าจะเพิ่มจากปริมาณร้อยละ 1.4 ของจีดีพีในปี 2560 เป็นจำนวนร้อยละ 5.6 ในปี 2603 ค่าใช้จ่ายในการดูแลแล้วก็รักษาคนวัยแก่ในระยะยาวก็คาดว่าจะมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณ ว่าค่าใช้จ่ายของเมืองในการเยียวยารักษาจะมากขึ้นจากจำนวนร้อยละ 2.9 ของจีดีพีในปี 2560 เป็นปริมาณร้อยละ 4.9 ของจีดีพีในปี 2603 เพราะการสูงอายุของมวลชน การขาดมาตรการปรับแต่งในหัวข้อนี้จะก่อให้การดูแลรักษาความคงทนถาวรทางการคลังเก็บของเป็นสิ่งที่ทำเป็นยากไปกันใหญ่ ซึ่งจะแปลงเป็นเหตุถ่วงรั้งการเจริญเติบโตที่ต้องเป็น
 
ความถี่ที่มากขึ้นของภัยที่เกิดจากธรรมชาติยังเป็นภัยรุกรามต่อการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพราะว่าจำต้องสูญเสียสภาพแวดล้อมและก็การมีส่วนร่วม การปลดปล่อยแก๊สสภาวะเรือนกระจกเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างยิ่งในตอนไม่นานมานี้ที่มีการเติบโตด้านเศรษฐกิจอย่างเร็ว เหมือนกันกับความแตกต่างระหว่างภูมิภาคและก็กิจการค้าต่างๆในประเทศ เมืองไทยเป็นผู้ปลดปล่อยขยะพลาสติกรายใหญ่ลงตามพื้นดิน แม่น้ำลำคลอง และก็ริมตลิ่ง ด้วย แผนกระทำการด้านการจัดการขยะพลาสติกสมุทร ปี 2566-2570 แล้วก็ เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐหมุนวน-เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เมืองไทยปรารถนาที่จะสร้างกลไกเมือง-เอกชน-ราษฎรสำหรับในการแยกขยะพลาสติกรวมทั้งเพิ่มการนำพลาสติกกลับมาใช้ใหม่


ผู้ตั้งกระทู้ Viroj :: วันที่ลงประกาศ 2023-01-27 13:54:47


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล