 | |
เชื่อได้เลยว่าทุกวันนี้คนวัยทำงานเกือบทุกคนจะต้องมีบัญชีโซเชียลมีเดียอยู่ในมืออย่างน้อย ๆ 1 บัญชี ทั่วไปที่สุดเลยก็น่าจะเป็น Facebook และบางคนก็อาจจะมี Instagram มี Twitter ด้วย หรืออาจจะมีมากกว่านี้ ซึ่งเมื่อทำงานร่วมกันไปสักพัก เหล่าเพื่อนร่วมงานของเรา (และอาจรวมถึงหัวหน้า) ก็เริ่มที่จะหาบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณเจอ แล้วก็มีแจ้งเตือนว่าพวกเขาส่งคำขอเป็นเพื่อนกับคุณมาซะแล้ว คุณจึงเริ่มกระอักกระอ่วนและลังเลว่าควรจะกดรับพวกเขาเป็นเพื่อนในโซเชียลมีเดียดีหรือไม่ แม้ว่าตอนนี้คุณจะไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดียเท่าไรนัก แต่พื้นที่ตรงนั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งที่คุณเคยแสดงออกไปอยู่ดี ถ้าคุณรับ Add Friend พวกเขาก็อาจจะเห็นเรื่องราวทั้งหมดนั่น จนคุณเริ่มรู้สึกหวั่น ๆ ว่าหากกดรับจริง ๆ คุณจะยังคงเล่นโซเชียลมีเดียที่มีเพื่อนร่วมงานติดตามอยู่ได้อย่างสบายใจหรือไม่ ต่อให้คุณจะไม่เคยมีความคิดโพสต์อะไรเสีย ๆ หาย ๆ เกี่ยวกับบริษัทหรือคนในที่ทำงานด้วยกันเลยก็ตาม จริง ๆ แล้ว คุณมีสิทธิ์เลือกที่จะไม่ให้พวกเขาเข้ามาในพื้นที่ของคุณบนโลกออนไลน์มากจนเกินไป ตัวคุณไม่ได้มีความลับหรอก แต่เวลาจะโพสต์เรื่องส่วนตัวทีมันก็น่าจะชวนให้เสียวสันหลังวาบตลอดแหละ รวมถึงคงมีบางเรื่องที่คุณไม่อยากให้เจ้านายหรือคนที่ทำงานรู้มากกว่า นี่คือเหตุผลดี ๆ ที่คุณไม่ควรรับ Add Friend จากคนที่ทำงาน และควรหาวิธีบ่ายเบี่ยงไม่ให้พวกเขาสงสัยว่าทำไมคุณถึงยังไม่ตอบรับเป็นเพื่อนกับพวกเขาเสียที ถูกจับผิดการโพสต์ เป็นเรื่องปกติที่เราจะโพสต์บ่นนั่นบ่นนี่บนพื้นที่โซเชียลมีเดียของเราเอง ซึ่งบางทีเราอาจจะบ่นดินฟ้าอากาศ บ่นเพื่อน บ่นคนที่บ้าน บ่นแฟน หรืออาจจะตั้งใจบ่นเพื่อนร่วมงานจริง ๆ ก็ได้ แต่จงระวังไว้ว่าหากคุณมีเพื่อนที่ทำงานเป็นเพื่อนในโซเชียลมีเดียอยู่ด้วยล่ะก็ ต่อให้คุณจะไม่ได้โพสต์ถึงพวกเขาจริง ๆ ชนิดที่ไม่ได้นึกถึงเลยด้วยซ้ำ แต่เพื่อนร่วมงานจอมร้อนตัวของคุณอาจจะเก่งแกทเชื่อมโยง จับนั่นมาชนนี่แล้วคิดว่าคุณกำลังนินทาใครสักคนในที่ทำงานอยู่ หรืออาจจะมั่นหน้ามาโวยวายว่าหล่อนพูดถึงฉันอยู่สินะก็ได้ ดังนั้น การไม่เป็นเพื่อนกันในโซเชียลมีเดียจึงน่าจะสบายใจกว่า แค่ไม่ลืมตั้งค่าเป็นสาธารณะไว้ก็พอ แต่ทางที่ดี อย่านินทาใครลงโซเชียลมีเดียเลยจะดีที่สุด ตกเป็นขี้ปากในการนินทา ไม่มีความลับในโลกออนไลน์หรอกตัวเธอ ต่อให้คุณจะปิดการมองเห็นสำหรับเพื่อนร่วมงานทุกคนไปหมดแล้วก็เถอะนะ แต่ถ้าพวกเขาสงสัยว่าทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นโพสต์ของคุณเลยและเกิดอยากรู้ขึ้นมาว่าคุณจงใจปิดกั้นพวกเขาหรือเปล่า ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรในการพยายามแอบส่อง และเชื่อไหมว่ามันจะยิ่งกลายเป็นประเด็นให้ได้คันปากยุบยิบ ๆ กับโพสต์ที่คุณจงใจปิดไม่ให้เหล่าเพื่อนร่วมงานเห็นว่าคุณโพสต์อะไร ก็แบบว่ามันเป็นความลับอะไรนักหนาถึงให้คนที่ทำงานรู้ไม่ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือ ไม่ว่าพวกเขาจะเห็นโพสต์ของคุณแล้วหรือไม่ก็ตาม เรื่องของคุณก็ตกเป็นหัวข้อสนทนายามว่างโดยที่ไม่มีคุณร่วมวงอยู่ ทีนี้คุณก็เหลือแค่วิธีตั้งโพสต์ให้เป็น Only Me หรือ Unfriend แล้วล่ะ! ความเป็นส่วนตัวจะหายไป คนเราควรจะเว้นช่องว่างระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวออกจากกันเมื่อหมดเวลางาน อย่างน้อยที่สุดก็คือให้คุณสามารถถอดหัวโขนที่รับบทบาทจากการทำงานออกได้ เวลาที่คุณใช้เวลาส่วนตัวเล่นโซเชียลมีเดีย แน่นอนว่าคุณสามารถโพสต์ แชร์ กดไลก์นู่นนั่นนี่ หรือคอมเมนต์อะไรก็ได้ตราบเท่าที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน แต่บางทีหากคุณโพสต์ แชร์ ไลก์ คอมเมนต์ หรือติดตามอะไรตามที่คุณชอบ แบบว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณ เพื่อนร่วมงานคุณก็อาจจะรับรู้ไปด้วย จริง ๆ มันก็ไม่ใช่ความลับอะไรหรอก ในฐานะเพื่อนคนหนึ่งที่ติดตามกันในโซเชียลมีเดีย ส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แล้ว แต่การมาเจอหน้ากันที่ที่ทำงาน ในบางกรณีมันอาจเกิดความรู้สึกอึดอัดไม่สะดวกใจได้นะ คุณจะรู้สึกว่ามันไม่ส่วนตัว เสี่ยงภัยกับบางพฤติกรรมที่ทำให้คุณดูแย่ บางพฤติกรรมที่คุณแสดงในโซเชียลมีเดีย มันมีผลต่อหน้าที่การงานของคุณจริง ๆ รวมถึงส่งผลต่อความน่าเชื่อถือด้วย เช่น เช้าวันนี้คุณโทรมาลาป่วยกับหัวหน้า อ้างว่าปวดหัว ปวดท้อง ปวดอะไรก็ตามแต่ แต่ภาพที่คุณโพสต์ (หรือถูกแท็กมา) ลงโซเชียลมีเดียเมื่อคืนคืออยู่ร้านเหล้า กำลังเมาแอ๋โดยที่ยังสวมยูนิฟอร์มขององค์กรอยู่อีกต่างหาก แล้วเพื่อนร่วมงานหรือเลวร้ายสุดคือเจ้านายของคุณดันเห็นเข้า แบบนี้เขาจะเกิดคำถามทันทีว่าที่คุณบอกว่าลาป่วย จริง ๆ คุณแค่เมาค้างจนมาทำงานไม่ไหวหรือเปล่า มันมีผลในเรื่องความรับผิดชอบจริง ๆ นะ หรือคุณอาจจะแฉตัวเองโดยการโพสต์รูปกิจกรรมบางอย่างซึ่งไม่ตรงกับเหตุผลที่คุณลางานไป ลาป่วยแต่ไปโผล่ทะเล หายนะจะมาเยือนเอานะ อ้างอิง ข่าวไอที ล่าสุด วันนี้ | |
ผู้ตั้งกระทู้ 1Mill :: วันที่ลงประกาศ 2023-01-10 14:04:20 |
